เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเอง เข้ากับคนอื่นได้ดี

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

การจัดการทั่วไป


ความหมายขององค์การ



มีผู้ให้ความหมายขององค์การไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้
Joseph L. Massie ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า "องค์การ คือ กระบวนการที่กลุ่มบุคคลจัดตั้งขึ้น โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆนั้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้"
Herbert G. Hicks ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า "องค์การ คือ กระบวนการจัดการให
้บุคคลปฏิบัติงานรวมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้"
Daniel Katz และ Robert Kahn ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า "องค์การ คือ
กระบวนการที่ประกอบด้วยสิ่งนำเข้า(Input) ผ่านกระบวนการผลิตและได้ผลผลิต (Output) ออกมา"
จากความหมายดังกล่าวต่าง ๆ ข้างต้น สรุปได้ว่า องค์การ (Organization) คือ การรวมตัวของบุคคลต่าง ๆ เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการแบ่งงานกันทำระหว่างผู้เป็นสมาชิก

วัตถุประสงค์ขององค์การ
วัตถุประสงค์ขององค์การ (Organization Objectives) แบ่งออกได้ ดังนี้

1. วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ
การดำเนินการองค์การธุรกิจ สิ่งที่องค์การต้องการคือ ความอยู่รอด ความเจริญเติบโต
และความมั่นคงขององค์การสิ่งต่าง ๆเหล่านี้จะแสดงในรูปของ "กำไร" องค์การต้องพยายามทำกำไรให้ได้สูงสุด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจขององค์การ
กำไร คือ ผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งอาจจะแสดงในรูปของตัวเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดจากการลงทุนก็ได้

2. วัตถุประสงค์ในการให้บริการ (Service Objectives)
ในการดำเนินงานขององค์การที่เป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น การประปานครหลวง
การไฟฟ้านครหลวง สิ่งที่องค์การต้องการมิได้หวังผลกำไร แต่ต้องการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อให้
ประชาชนได้รับความพึงพอใจ

3. วัตถุประสงค์ทางด้านสังคม (Social Objectives)
ทั้งองค์การของรัฐและองค์การธุรกิจจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เพื่อความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของประเทศชาติซึ่งโดยปกติวัตถุประสงค์ขององค์การของรัฐก็ คือ การให้บริการแก่สังคมโดยส่วนรวม ส่วนวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจ
นอกจากวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ คือกำไรแล้ว องค์การธุรกิจจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เนื่องจากการประกอบธุรกิจจะต้องสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกหลายฝ่าย ได้แก่
ลูกค้าพนักงานผู้ถือหุ้นเจ้าหนี้หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ ซึ่งองค์การธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อบุคคล
ดังกล่าว เช่น ลูกค้า องค์การธุรกิจจะต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าโดยซื่อสัตย์ต่อลูกค้า
ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงแก่ลูกค้า ไม่ขายสินค้าปลอมปน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบ
ต่อสังคมนั่นเอง

ความหมายของการจัดการทั่วไป
การจัดการ (Management) หรือการบริหาร คือ ศิลปะในการจัดการให้บุคคลอื่นหรือสมาชิกทำงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้

หน้าที่และขั้นตอนของการจัดการทั่วไป
ผู้บริหารองค์การมีหน้าที่ในการจัดการหรือการบริหาร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสค์ที่ตั้งไว้
โดยการใช้คน (Men) เงิน (Mony) วัตถุดิบ (Material) และวิธีดำเนินงาน (Method) ขั้นตอนของ
การจัดการประกอบด้วย


1. การวางแผน (Planning)
การวางแผน เป็นหน้าที่แรกของการจัดการ โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การ
และวิธีปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซึ่งการวางแผนจะต้องอาศัยประสบการณ์
การวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต การวางแผนมีความสำคัญ เพราะทำให้
ลดความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการ ไม่เกิดความ
ซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดการประหยัดทำให้เกิดการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงาน
ต่าง ๆ ในองค์การ การวางแผนเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง
ผู้บริหารระดับกลาง หรือผู้บริหารระดับต้น แผนที่ดีจะต้องสามารถนำไปปฏิบัติได้ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ และเป็นที่ยอมรับของบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับแผนนั้น

2. การจัดองค์การ (Organizing)
การจัดองค์การ คือ การกำหนดโครงสร้างขององค์การ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไป
อย่างมีระเบียบ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ โครงสร้างขององค์การ ปกติจะแสดงในรูปของ
แผนภูมิขององค์การการกำหนดโครงสร้างขององค์การจะต้องสอดคล้องกับลักษณะของกิจการ
ดังนั้นโครงสร้างของแต่ละองค์การจึงอาจไม่เหมือนกัน ในโครงสร้างขององค์การ จะต้องระบุ
หน้าที่และความรับผิดชอบ สายบังคับบัญชา ทำให้สมาชิกในองค์การได้รู้ถึงบทบาทและหน้าที่
ของตนเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง แสดงให้เห็นถึงการติดต่อประสานงานระหว่างแผนกงานต่าง ๆ
ในองค์การหลักการในการจัดโครงสร้างองค์การ พิจารณาวัตถุประสงค์ขององค์การ แบ่งงานกันทำ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แยกสายการปฏิบัติงานจากสายงานที่ปรึกษากำหนดอำนาจ
หน้าที่และความรับผิดชอบจากระดับบนไปยังระดับล่าง กำหนดจำนวนคนใต้บังคับบัญชาในอัตรา
ที่เหมาะสม โครงสร้างองค์การควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจท
ี่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา พิจารณาการทำงานที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องของเวลา

3. การจัดบุคคลเข้าทำงาน( Staffing)
การจัดบุคคลเข้าทำงาน คือ การจัดคนเข้าทำงานเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
การจัดบุคคลเข้าทำงานประกอบด้วยขั้นตอน ต่อไปนี้
3.1 การวิเคราะห์งาน คือ การกำหนดงาน รายละเอียดของงานอย่างชัดเจน
เพื่อกำหนดทิศทางในการทำงานของบุคคลให้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล
3.2 การวางแผนกำลังคน คือ การคาดคะเนจำนวนคนที่หน่วยงานขององค์การต้องการ ระยะเวลาที่ต้องการประเภทและระดับของบุคคลที่ต้องการ
3.3 การจัดหาบุคคลเข้าทำงาน คือ การแสวงหาบุคคลที่มีความสามารถตามที่
หน่วยงานขององค์การต้องการและการจูงใจให้บุคคลนั้นเข้าทำงานในองค์การ ซึ่งการ
จัดหาบุคคลเข้าทำงานอาจจะได้จากแหล่งภายในหรือแหล่งภายนอกองค์การก็ได้ โดยการ
จัดหาบุคคลจากแหล่งภายในมีข้อดีคือ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการอบรมแนะนำงาน เป็นการ
สร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานเดิมได้มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งงาน ส่วนข้อดีของการจัด
หาบุคคลจากแหล่งภายนอก คือ ทำให้สรรหาบุคคลได้เหมาะสมกับงาน ได้บุคคลที่มีความรู้
ความสามารถใหม่ ๆ เข้ามาในองค์การและไม่เกิดการขาดแคลนบุคลคลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง
งาน
3.4 การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน คือ การพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติตรง
ตามตำแหน่งานที่องค์การต้องการ วิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานเพื่อจะให้ได้บุคคลที่มีความรู้
ความสามารถ และเหมาะสมที่ดีที่สุด โดยวิธีการสอบคัดเลือก ซึ่งขั้นตอนในการสอบคัดเลือก
บุคคลเข้าทำงานประกอบด้วย

1) ประกาศรับสมัครบุคคล โดยระบุคุณสมบัติของผู้สมัคร และระบุตำแหน่งงานที่
ต้องการรับสมัครอย่างชัดเจน
2) เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจ โดยให้ข้อมูลต่าง ๆ แก่ผู้สมัคร รายละเอียดเอกสารต่าง ๆ
ที่ต้องใช้ในการสมัคร และจ่ายใบสมัครให้ผู้สมัครเพื่อนำไปกรอกข้อมูล
3) ประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิสอบคัดเลือก โดยตรวจดูจากใบสมัครและเอกสารที่
ประกอบการสมัครว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
4) ดำเนินการสอบคัดเลือก เครื่องมือที่เหมาะสมในการนำไปใช้ในการสอบคัดเลือก
คือ แบบทดสอบ ซึ่งต้องมีลักษณะการใช้ภาษาในแบบทดสอบที่ชัดเจน แบบทดสอบต้องประกอบ
ด้วยคำถามที่ครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ ที่องค์การต้องการจากผู้สมัคร
5) การสอบสัมภาษณ์และการพิจารณา การสอบสัมภาษณ์เป็นแบบทดสอบที่ใช้โดย
การสนทนา สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คืออารมณ์และอคติของผู้ทำการสัมภาษณ์ที่มีต่อผู้ถูกสัมภาษณ์
จะต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรม ขั้นตอนหลังจากสัมภาษณ์ จะต้องมีการประชุมพิจารณาข้อมูล
ต่าง ๆ จากใบสมัคร ผลการสอบคัดเลือก ผลการสอบสัมภาษณ์ ประวัติการทำงานจากนายจ้างเดิม ความประพฤติจากสถาบันการศึกษา
6) ประกาศผลการสอบคัดเลือก หลังจากผ่านขั้นตอนการพิจารณาจากคณะกรรมการ
แล้ว องค์การจะประกาศรายชื่อบุคคลที่ผ่านการสอบคัดเลือก
7) การตรวจร่างกายและประกาศผล เพื่อเป็นการคัดเลือกบุคคลที่สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคติดต่อเข้าทำงานกับองค์การ
หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจร่างกายองค์การประกาศรายชื่อบุคคลเข้าทำงาน
8) จัดการปฐมนิเทศและบรรจุบุคคลเข้าทำงาน การปฐมนิเทศพนักงานใหม่เป็นการแจ้ง
ให้พนักงานได้ทราบกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์การเป็นการแนะนำสถานที่บริการต่าง ๆ ที่คนงานควรจะได้รับจากองค์การและบรรจุบุคคลเข้าทำงานตามหน่วยงานที่เหมาะสม โดยการทำ
งานขั้นแรกคือการทดลองงานตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดคือ
9) การติดตามและประเมินผลงาน หลังจากได้บรรจุคนงานให้ปฏิบัติหน้าที่แล้วองค์การ
จะต้องมีหน่วยงานติดตามการทำงานของพนักงาน เพื่อนำมาประเมินผลการทำงานว่ามีความ
เหมาะสมกับหน่วยงานที่บรรจุหรือไม่ เพื่อการนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือโยกย้ายให้
เหมาะสม

4. การอำนวยการ (Directing)
การอำนวยการ หมายถึง การที่ทำให้บุคคลอื่นปฏิบัติงาน เพื่อให้องค์การบรรลุ
วัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ ดังนั้น ผู้บริหารทุกระดับจึงต้องทำหน้าที่ในการอำนวยการ
ซึ่งประกอบด้วยการจูงใจ การประสานงาน การสื่อสาร และภาวะผู้นำของผู้บริหาร หลักการ
อำนวยการที่ดีคือผู้บริหารจะต้องคำนึงถึงความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
สร้างทัศนคติที่ดีในการทำงาน จูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน
การมอบหมายงานต้องมีความสมบูรณ์ชัดเจนในคำสั่ง ให้ความสำคัญต่อการสื่อสารภายใน
องค์การ รักษาไว้ซึ่งระเบียบข้อบังคับขององค์การ

5. การควบคุม (Controlling)
การควบคุม คือ การพยายามทำให้ผลของการปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนงานที่ได้
กำหนดไว้ ระบบการควบคุมประกอบด้วย
1. การกำหนดมาตรฐานของผลงานในด้านปริมาณ คุณภาพ การใช้ต้นทุน หรือ
ค่าใช้จ่ายที่เสียไป ระยะเวลาที่ใช้
2. การสังเกตการปฏิบัติงานและการวัดผล โดยการเก็บข้อมูลการปฏิบัติงานของคนงาน และนำข้อมูลที่ได้รับประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยการประเมินผลควรทำทั้งแบบไม่เป็นทางการ
และแบบเป็นทางการ
1) การประเมินผลแบบไม่เป็นทางการ คือ การสังเกตการณ์และประเมินผลการปฏิบัติ
ตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติงาน
2) การประเมินผลแบบเป็นทางการ คือ การประเมินผลที่กำหนดระยะเวลาการ
ประเมินผลซึ่งอาจจะกำหนดปีละครั้งปีละ
2 ครั้ง หรือปีละ 3 ครั้ง ตามความเหมาะสมตามสภาพ
ของงานที่จะต้องทำการประเมิน

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจ้าชายที่หล่อที่สุดในโลก






ชีคฮัมดาน โอรสของชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มาคทุม นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พระองค์กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งทั่วโลกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อกลายเป็นมกุฎราชกุมารของดูไบ เชื้อพระวงศ์วัย 25 ที่โก้เท่ห์ ทรงเป็นหัวหน้าทีมบริหารรัฐสภาของดูไบ ได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ และเป็นนักขี่ม้าตัวยงคนหนึ่ง




http://www.google.com/

ประวัติอาวริล



“ อาวริล” พังค์ร็อคสาวชื่อดังชาวแคนาเดียนได้ลืมตามาดูโลกในวันที่ 27 เดือน กันยายน พ. ศ. 2527 ในเมืองนาปานี รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา จากมารดาที่นามว่า “ จูดี้ ลาวีญ” (Judy Lavigne) และบิดาที่นามว่า “ จอห์น ลาวีญ” (John Lavigne) ท่านทั้งสองเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส- แคนาเดียน อาวริลมีพี่ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า “ แมทธิว” (Matthew) และน้องสาวที่ชื่อว่า “ มิแชล” (Michelle) อาวริลมีส่วนสูง 5 ฟุต 2 นิ้ว หรือ 157 เซนติเมตรนั่นเอง ส่วนผมของเธอเป็นสีบลอนด์และตาเป็นสีฟ้า

ความ ทะเยอทะยานในด้านดนตรีแนวร็อคของอาวริล สังเกตเห็นได้ตั้งแต่เธอมีอายุราว 2 ปี เท่านั้น!! ในระยะวัยรุ่นช่วงแรกๆ ของเธอ อาวริลได้เขียนเพลงและเล่นกีตาร์ การที่เธอได้ร่วมร้องเพลงในคณะนักร้องในโบสถ์ งานเทศกาล และงานรื่นเริงประจำปีต่างๆ ในเมือง ทำให้เสียงอันไพเราะของเธอได้ถ่ายทอดสู่ผู้คนมากมาย โชคช่างเข้าข้างเธอ เมื่อคนระดับบิ๊กของอาริสต้า เรคค็อดซ์ (Arista Records) ที่ชื่อ “ อองโตนิโอ แอล. เอ. รีด” ( Antonio "L.A." Reid ) ได้ยินเสียงของอาวริล รีดได้เสนอข้อตกลงให้เธอ และเมื่ออาวริลมีอายุ 16 ปี ความฝันทางด้านดนตรีของเธอก็เป็นจริงขึ้นมา
ด้วยความช่วย เหลือของรีด และห้องชุดใหม่ในแมนฮัตตัน อาวริลได้พบว่า เธออยู่ในแวดวงของนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ชั้นแนวหน้า แต่เธอไม่รู้สึกประทับใจเพียงพอที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อาวริลนั้นเชื่อมั่นในความคิดของเธอเองที่จะจุดประกายทางดนตรีและสร้างสิ่ง ซึ่งไม่ได้กำหนดแบบแผนไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่ออาวริลไม่พบแสงสว่างทางดนตรี เธอจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองลอส แองเจลิส และค่ายเน็ตต์เวอร์ค ( Nettwerk ) ได้คว้าตัวเธอไว้ โปรดิวเซอร์หรือนักแต่งเพลงของเธอ คือ “ คลิฟ แม็กเนซ” ( Clif Magness) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของ “ ซีลีน ดีออน” ( Celine Dion) “ วิลสัน ฟิลิปส์” ( Wilson Phillips) และ “ ชีน่า อีสตัน” ( Sheena Easton) เหล่านักร้องชื่อดัง
http://www.google.com/

มัสยิดต้นสน









“มัสยิดต้นสน” หรือ “กะดีใหญ่” มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย

ชาวชุมชนมัสยิดต้นสนนี้ เชื่อว่าน่าจะมีการรวมตัวกันเป็นชุมชนมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเป็นชาวมุสลิมเชื้อสายจามที่เข้ามาเป็นกองอาสาต่างชาติในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช (พ.ศ.2077-2111) ซึ่งเป็นช่วงของการเกณฑ์แรงงานอาสาต่างชาติเพื่อการศึกสงครามและบูรณะประเทศ โดยเฉพาะการขุดคลองลัดบางกอกในปี พ.ศ.2085 จึงทำให้มีชุมชนมุสลิมเกิดขึ้นในบริเวณท้ายป้อมเมืองบางกอกหรือป้อมวิชัยประสิทธิ์ในปัจจุบัน

ที่ตั้ง:

“มัสยิดต้นสน” ตั้งอยู่ที่ 447 ซอยวัดหงส์รัตนาราม ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กทม. 10600 การเดินทาง สามารถนั่งเรือข้ามฟากจากท่าเตียนมายังวัดอรุณราชวราราม จากนั้นเดินออกมาที่ถนนอรุณอัมรินทร์แล้วเลี้ยวซ้ายมาทางสะพานอนุทินสวัสดิ์ มัสยิดต้นสนจะอยู่บริเวณใต้สะพาน สอบถามรายละเอียดโทร.0-2466-5326

และในบริเวณใกล้เคียงมัสยิดต้นสน ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่าง “วัดหงส์รัตนาราม” ซึ่งมีพระพุทธรูปทองโบราณสมัยสุโขทัยอันงดงามยิ่ง และ “ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ซึ่งเชื่อว่าบริเวณที่ตั้งศาลนั้นเป็นจุดที่พระโลหิตของสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงหยดลงบนพื้น จึงต้องมีการสร้างศาลขึ้น

http://www.google.com/

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จังหวัดสุราษฎร์ธานี


เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ
สุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศอีกจังหวัดหนึ่ง เพราะมีธรรมชาติอันสวยงาม ทั้งหมู่เกาะต่างๆ เช่น เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน หมู่เกาะอ่างทอง และมีพื้นที่ป่าดิบชื้นบนบกที่อุดมด้วยพืชพรรณอันหลากหลาย สายน้ำมากมาย และสัตว์ป่านานาชนิด
สุราษฎร์ธานียังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบครบครัน มีการคมนาคมที่สะดวกทั้งทางรถ รถไฟ เรือ และเป็นที่ตั้งของสนามบินถึง 2 แห่ง ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี จนปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวของชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนใต้ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลไปเยี่ยมเยือนปีละหลายล้านคน
จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีเนื้อที่ประมาณ 12,891 ตารางกิโลเมตร หรือ 8,056,875 ไร่ เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศ และมีขนาดใหญ่ที่สุดของภาคใต้ สภาพภูมิประเทศมีความหลากหลายตั้งแต่เกาะขนาดต่างๆ ในทะเลอ่าวไทย ภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบชายฝั่งทะเล และที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีแม่น้ำที่สำคัญ คือ แม่น้ำตาปีและแม่น้ำไชยา มีชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 156 กิโลเมตร
สุราษฎร์ธานีเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีชนพื้นเมืองเป็นพวกเซมังและชาวมลายูดั้งเดิม ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตลุ่มน้ำหลวง (แม่น้ำตาปี) และบริเวณอ่าวบ้านดอน และจากการค้นพบร่องรอยของอารยธรรมศรีวิชัยในเขตอำเภอไชยา และพบร่องรอยของเมืองเก่าอีกหลายแห่งบริเวณรอบอ่าวบ้านดอน เช่น เมืองกาญจนดิษฐ์ เมืองท่าทอง เมืองพุนพิน และเมืองเวียงสระ จึงสันนิฐานว่าเมืองไชยาเคยเป็นราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยในอดีต
เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลง เมืองในแถบนี้ได้แยกออกเป็น 3 เมือง คือ เมืองไชยา เมืองท่าทอง และเมืองคีรีรัฐ อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช ตรงกับช่วงเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยทางเหนือกำลังเจริญรุ่งเรือง และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้ไปถึงแหลมมลายู เมืองไชยาจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมืองนครศรีธรรมราชอ่อนแอลง ในขณะที่บ้านดอนมีความเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน และยกฐานะเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร โดยพระราชทานนามเมืองใหม่ว่า “กาญจนดิษฐ์” ครั้นเมื่อมีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองกาญจนดิษฐ์ (บ้านดอน) เมืองคีรีรัฐนิคม และเมืองไชยา เข้าเป็น “อำเภอเมืองไชยา”
ต่อมาได้มีการกำหนดให้เรียกอำเภออันเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดว่า “อำเภอเมือง” บ้านดอนซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในขณะนั้น จึงเปลี่ยนเป็น “อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี” แปลว่าเมืองแห่งคนดี ตามชื่อจังหวัดที่ได้รับพระราชทาน ส่วนอำเภอเมืองไชยาก็ถูกตัดคำว่า “เมือง” ออกเหลือเพียง “อำเภอไชยา” เป็นอำเภอหนึ่งของสุราษฎร์ธานีมาจนทุกวันนี้
ปัจจุบันจังหวัดสุราษฎร์ธานีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 18 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอพุนพิน อำเภอคีรีรัฐนิยม อำเภอพนม อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอเกาะสมุย อำเภอดอนสัก อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอพระแสง อำเภอเวียงสระ อำเภอเคียนซา อำเภอบ้านตาขุน อำเภอเกาะพะงัน อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอชัยบุรี และกิ่งอำเภอวิภาวดี


ที่มา www.google.com

จังหวัดพังงา


ไม่มีใครปฏิเสธการเดินทางไปเยือนจังหวัดกระบี่ เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งขุนเขา หาดทราย ชายทะเล กลุ่มเกาะ น้ำตก และโถงถ้ำ ที่สวยงามติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ซึ่งสามารถเดินทางไปเยือนได้ตลอดทั้งปี
ไม่ใช่เพียงแค่ภูมิประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ประวัติความเป็นมาอันยาวนานของกระบี่ รวมถึงอัธยาศัยไมตรีอันดีและวิถีชีวิตของคนกระบี่ที่ผูกพันอยู่กับการทำสวน ทำไร่ ก็เป็นอีกเสน่ห์ที่ทำให้กระบี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในวันพักผ่อนของนักท่องเที่ยวเสมอมา
จังหวัดกระบี่มีเนื้อที่ประมาณ 4,708 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 46 ของประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ที่ดอน ที่ราบ และหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 130 เกาะ ริมปากอ่าวและรอบหมู่เกาะหลายเกาะคือป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ มีภูเขาพนมเบญจาเป็นภูเขาสูงที่สุดของกระบี่ (1,397 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) และเป็นต้นกำเนิดของคลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย สายน้ำสำคัญของจังหวัด
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบในเขตจังหวัดกระบี่ โดยหลักฐานอายุเก่าแก่ที่สุดคือถ้ำหมอเขียว ที่มีอายุถึง 27,000-37,000 ปีนั้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ที่นี่เคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ มีการขุดค้นพบเครื่องมือยุคหินจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตอำเภอคลองท่อม อีกทั้งยังพบภาพเขียนสีโบราณบนผนังถ้ำหลายแห่ง เช่น ถ้ำผีหัวโต เป็นต้น
นอกเหนือจากการเป็นชุมชนเก่าแก่ กระบี่น่าจะเป็นศูนย์กลางการเดินทางข้ามคาบสมุทรมลายูจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก และเป็นศูนย์กลางทางการค้าอีกด้วย โดยพบหลักฐานสำคัญคือลูกปัดโบราณจำนวนมากในเขตอำเภอคลองท่อม
จนกระทั่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า กระบี่คือเมืองบันไทยสมอ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 เมืองนักษัตร ขึ้นอยู่กับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) โดยมีรูปลิงเป็นตราประจำเมือง และเป็นชุมชนซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อเมืองถลาง (หรือภูเก็ต) ถูกพม่าเผาทำลาย กระบี่จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองท่าทดแทน ในยุคนี้มีการคล้องช้างป่าที่บ้านปกาไสยกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ช่วงนี้เองที่มีผู้คนอพยพมาตั้งหลักแหล่งมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ และเจริญขึ้นเป็นแขวงเมือง ชื่อแขวงเมืองปกาไสย โดยต่อมาได้ย้ายเมืองมาอยู่ริมทะเล บริเวณปากแม่น้ำกระบี่ เพราะที่ตั้งเมืองเดิมอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินนั้นไม่สะดวกต่อการค้าขายทางเรือ
กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2415 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะแขวงเมืองปกาไสยขึ้นเป็นเมือง และพระราชทานนามว่า “เมืองกระบี่” ขึ้นอยู่กับนครศรีธรรมราช จากนั้นจึงโอนไปขึ้นกับมณฑลภูเก็ตใน พ.ศ. 2439 จนถึง พ.ศ. 2444 ได้ย้ายเมืองมาอยู่ ณ ที่ตั้งของศาลากลางหลังปัจจุบัน และได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดใน พ.ศ. 2476 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จังหวัดกระบี่แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองกระบี่ อำเภออ่าวลึก อำเภอปลายพระยา อำเภอเขาพนม อำเภอคลองท่อม อำเภอลำทับ อำเภอเกาะลันตา และอำเภอเหนือคลอง


ที่มา http://www.google.com/

จังหวัดตราด


เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา
ตราดเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นที่ตั้งของเกาะที่สวยงามจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็น “เมืองเกาะครึ่งร้อย” โดยมีเกาะที่สำคัญที่สุดคือเกาะช้าง ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากเกาะภูเก็ต
นอกจากนี้ จังหวัดตราดยังมีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีการคมนาคมทางถนนที่สะดวกสบาย และมีสนามบินที่มีเที่ยวบินพาณิชย์ขึ้น-ลงเป็นประจำทุกวัน ทำให้เมืองแห่งนี้มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวสูง พร้อมที่จะพัฒนาไปเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญยิ่งขึ้นต่อไป
ชื่อเมืองตราดนั้น สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “กราด” ซึ่งเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งใช้ทำไม้กวาด ที่ในอดีตมีขึ้นอยู่รอบเมืองเป็นจำนวนมาก แต่พอถึงรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา เมืองตราดก็มีอีกชื่อหนึ่งว่า “บ้านบางพระ” รวมทั้งมีการเรียกกันอีกชื่อว่า “เมืองทุ่งใหญ่” ดังปรากฏในทำเนียบหัวเมืองสมัยพระเจ้าปราสาททองว่าเป็นหัวเมืองชายทะเลสังกัดฝ่ายการต่างประเทศ และเกี่ยวข้องกับด้านการคลัง เนื่องจากในสมัยนั้น ตราดเป็นหนึ่งในเมืองท่าชายทะเลที่มีชัยภูมิเหมาะกับการแวะจอดเรือสินค้า บริเวณชายฝั่งทะเลของเมืองตราดจึงมีชุมชนพ่อค้าชาวจีนตั้งอยู่
ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ตราดมีบทบาทเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาค ได้ส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศหลายอย่าง โดยเฉพาะของป่า เช่น เขากวาง หนังสัตว์ ไม้หอม และเครื่องเทศต่างๆ ซึ่งล้วนหามาได้จากเขตป่าชายฝั่งทะเลในแถบนี้ทั้งสิ้น
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในขณะดำรงตำแหน่งเป็นพระยาวชิรปราการ หรือพระยาตาก ได้นำกำลังพลตีฝ่าวงล้อมพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาในสงครามเสียกรุงครั้งสุดท้ายมาทางทิศตะวันออก ได้ทรงเลือกตราดเป็นเมืองหน้าด่านกันชน ทำหน้าที่ส่งเสบียงอาหารให้เมืองจันทบุรี อันเป็นเมืองที่ตั้งของกองกำลังกอบกู้เอกราช ก่อนเคลื่อนกองทัพออกทำสงครามกู้เอกราชจนสำเร็จ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ไทยทำศึกกับเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งต่อมาเวียงจันทน์หันไปสวามิภักดิ์กับญวน ไทยกับญวนจึงทำสงครามกันในปี พ.ศ. 2371 โดยมีเมืองตราดเป็นแหล่งกำลังพลและเสบียงอาหาร มีการตั้งป้อมค่ายอยู่ที่บ้านแหลมหิน ปากอ่าวเมืองตรา ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประเทศฝรั่งเศสได้ส่งกองทัพเรือเข้ายึดเมืองจันทบุรีในปี พ.ศ. 2436 และคืนให้ไทยในปี พ.ศ. 2447 โดยแลกกับเมืองตราดและเกาะต่างๆ ตั้งแต่แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูด รวมทั้งเมืองปัจจันตคีรีเขตร (เกาะกง)
ต่อมารัฐบาลไทยเห็นว่าตราดมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ และพลเมืองส่วนใหญ่เป็นคนไทย ด้วยพระปรีชาสามารถทางการปกครองและการทูตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสจึงยินยอมทำสัญญายกเมืองตราด เมืองด่านซ้าย (อยู่ในเขตจังหวัดเลย) และเกาะต่างๆ ตั้งแต่แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูดคืนให้แก่ไทย โดยแลกกับดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ โดยทำสัญญากันในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 ฝ่ายไทยมีพระยามหาอำมาตยาธิบดี ซึ่งในขณะนั้นเป็นพระยาศรีเทพ ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลไทย ส่วนฝ่ายฝรั่งเศสมีเมอซิเออร์รูซโซเรซิดังเป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศส ได้กระทำพิธีส่งและรับมอบดินแดนกัน ณ ศาลากลางจังหวัด และฝรั่งเศสยอมถอนกำลังทหารออกไปในเวลาต่อมา ปัจจุบันชาวเมืองตราดได้ถือเอาวันที่ 23 ของทุกปีเป็นวัน "ตราดรำลึก"
ต่อมาวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 ในช่วงระหว่างสงครามอินโดจีน เรือรบฝรั่งเศสได้ล่วงล้ำน่านน้ำไทยในเขตจังหวัดตราด กองเรือรบราชนาวีไทยจึงได้เข้าขัดขวาง จนเกิดการยิงต่อสู้กันซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ยุทธนาวีที่เกาะช้าง" ครั้งนั้นฝ่ายไทยสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถอยไป และรักษาเมืองยุทธศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ไว้ได้ แต่ก็ต้องสูญเสียเรือรบหลวงไปถึง 3 ลำ คือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี รวมทั้งชีวิตทหารอีกจำนวนหนึ่ง
ปี พ.ศ. 2521 เกิดสงครามสู้รบครั้งใหญ่ในกัมพูชา ทำให้มีชาวเขมรจำนวนนับแสนหนีตายเข้ามาในเขตไทยทางเทือกเขาบรรทัด เส้นทางหลวงหมายเลข 318 ที่เริ่มจากตัวเมืองตราดเลียบขนานเทือกเขาบรรทัดและชายฝั่งทะเลสู่อำเภอคลองใหญ่ กลายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายสำคัญ และเมื่อสงครามสงบลงในปี พ.ศ. 2529 เส้นทางสายนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นเส้นทางการค้าระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณตลาดหาดเล็กที่สุดเขตชายแดนไทย และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางต่อไปยังเกาะกง
ปัจจุบันจังหวัดตราดแบ่งเขตการปกครองออกเป็น7 อำเภอ เช่น อำเภอเมืองตราด อำเภอคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ อำเภอเกาะกูด อำเภอเกาะช้าง ฯลฯ


ที่มา http://www.google.com/

จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


 เมืองทองเนื้อเก้า มะพร้าวสับปะรด สวยสด หาด เขา ถ้ำ งามล้ำน้ำใจ
ประจวบคีรีขันธ์คือจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง ตามการแบ่งเขตการปกครองของกระทรวงมหาดไทย โดยเป็นจังหวัดสุดท้ายของภาคกลาง ต่อกับจังหวัดชุมพร ของภาคใต้ จึงกล่าวได้ว่า ประจวบคีรีขันธ์คือประตูสู่ภาคใต้อย่างแท้จริง
จังหวัดที่มีรูปร่างยาวเรียวนี้เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะทะเล ประจวบคีรีขันธ์ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ตากอากาศมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จวบจนถึงทุกวันนี้ ชายทะเลหลายแห่งในประจวบคีรีขันธ์ก็ยังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไม่เสื่อมคลาย
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีเนื้อที่ 6,367,620 ตารางกิโลเมตร ลักษณะพื้นที่แคบยาวเป็นคาบสมุทรลงไปทางภาคใต้ โดยมีแผ่นดินส่วนที่แคบที่สุดจากชายแดนไทยไปจนถึงสหภาพพม่า ระยะทาง 11 กิโลเมตร อยู่ที่บริเวณด่านสิงขร ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองฯ และมีความยาวจากเหนือจดใต้ถึง 212 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ความเป็นมาของประจวบคีรีขันธ์เท่าที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าพื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองนารัง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนกระทั่งกรุงแตกในครั้งที่ 2 เมืองนารังจึงกลายเป็นเมืองร้าง
ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ของราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงตั้งเมืองขึ้นใหม่ที่ปากคลองอีรม และพระราชทานนามว่าเมืองบางนางรม จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรวมเมืองบางนางรม เมืองกุย และเมืองคลองวาฬเข้าไว้ด้วยกัน พระราชทานนามว่าเมืองประจวบคีรีขันธ์ แปลว่าเมืองที่มีภูเขาเป็นหมู่ๆ เพื่อให้คล้องกับชื่อของเกาะกง คือ “เมืองประจันตคีรีเขต” โดยมีที่ว่าการเมืองอยู่ที่เมืองกุย
กระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองประจวบคีรีขันธ์ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเพชรบุรี โดยมีฐานะเป็นอำเภอ และใน พ.ศ. 2441 ก็มีการย้ายที่ว่าการเมืองไปอยู่ที่เกาะหลัก หรือ อ่าวประจวบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ คือ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี อำเภอกุยบุรี อำเภอทับสะแก อำเภอบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย และอำเภอสามร้อยยอด

ที่มา www.google.com

หัวหิน


หัวหินเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี ที่นับเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศริมทะเลที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย และเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ สำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ของคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะนอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลากหลายรูปแบบ มีที่พัก รีสอร์ต และโรงแรมชั้นนำมากมาย การและคมนาคมสะดวกสบายแล้ว หัวหินยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไป-กลับได้ในวันเดียว ทั้งยังสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี จึงถือเป็นเมืองท่องเที่ยวเปี่ยมเสน่ห์ที่สมบูรณ์แบบอีกแห่งหนึ่งในปัจจุบัน

อำเภอหัวหินตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอ่าวไทย ห่างจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ประมาณ 90 กิโลเมตร ตัวเทศบาลเมืองหัวหินมีพื้นที่ประมาณ 86.36 ตารางกิโลเมตร หรือ 53,975 ไร่ มีถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ตัดผ่านจากทิศเหนือจดทิศใต้รวมความยาวประมาณ 22 กิโลเมตร
ชุมชนหัวหินก่อตั้งขึ้นในราวปี พ.ศ. 2377 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เมื่อชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจากทางตอนเหนือละทิ้งถิ่นฐานและเดินทางมาจนถึงพื้นที่ที่เป็นบริเวณใกล้กับเขาตะเกียบในปัจจุบัน แล้วได้ตั้งถิ่นฐานที่บริเวณนี้ เพราะเห็นว่าเป็นหาดทรายที่สวยงามและแปลกกว่าที่อื่น คือมีกลุ่มหินกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป อีกทั้งที่ดินก็มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับทำการเกษตรและการประมง แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสมอเรียง”
ต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร) ได้มาสร้างตำหนักหลังใหญ่ชื่อ “แสนสำราญสุขเวศน์” ที่ด้านใต้ของหมู่หินริมทะเล (ปัจจุบันคือบริเวณที่อยู่ติดกับโรงแรมโซฟิเทลฯ) และทรงขนานนามหาดทรายบริเวณนี้เสียใหม่ว่า “หัวหิน” จนเมื่อเวลาล่วงไป ทั้งตำบลในบริเวณนี้ก็ถูกเรียกในชื่อเดียวกันว่า “หัวหิน” และเจริญเติบโตขยายขึ้นเป็นอำเภอหัวหินจนถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่มีการสร้างทางรถไฟสายใต้ที่ตัดผ่านมายังเมืองหัวหิน จนไปเชื่อมต่อกับชายแดนประเทศมาเลเซีย หัวหินก็มีชื่อเสียงในฐานะเป็นสถานตากอากาศที่สวยงาม และโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาท่องเที่ยวพักผ่อนและตีกอล์ฟ เนื่องจากมีสนามกอล์ฟ หัวหินรอยัลกอล์ฟ ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทย

ที่มา www.google.com

ระยอง




 ผลไม้รสล้ำ อุตสาหกรรมก้าวหน้า น้ำปลารสเด็ด เกาะเสม็ดสวยหรู สุนทรภู่กวีเอก

ระยองได้รับการขนานนามให้เป็นเมืองแห่งกวีเอกของกรุงรัตนโกสินทร์ “สุนทรภู่” เนื่องจากฉากในนิทานเรื่องเอกของท่าน คือเรื่องพระอภัยมณีนั้น คือหมู่เกาะน้อยใหญ่ และท้องทะเลที่สวยงามของจังหวัดระยอง
นอกจากธรรมชาติอันงดงามที่ทำให้ระยองกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคและของประเทศแล้ว ระยองยังเป็นแหล่งประมงและผลิตอาหารทะเลแปรรูปที่สำคัญ และเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่มีคุณภาพ ทั้งยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเป็นที่ตั้งของโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่สำคัญของประเทศอีกด้วย
และด้วยทำเลที่ตั้งที่ดี อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีการคมนาคมสะดวก จังหวัดระยองในวันนี้จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นที่นิยมอีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความสะดวกสบายพร้อมสรรพ แต่ยังคงได้สัมผัสกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์และบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน



จังหวัดระยองมีเนื้อที่ประมาณ 3,552 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,220,000 ไร่ เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 45 ของประเทศ ลักษณะพื้นที่ประกอบด้วยชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 100 กิโลเมตร ที่ราบชายฝั่งทะเลและที่ลาดสลับเนินเขาและภูเขา รวมกับพื้นที่ทิวเขาชะเมาทางทิศตะวันออก และทิวเขาที่อยู่กึ่งกลางของตัวจังหวัดเป็นแนวยาวจากอำเภอเมืองฯ ขึ้นไปทางเหนือจนสุดเขตจังหวัด
ในเขตอำเภอเมืองฯ มีแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำระยอง ยาวประมาณ 50 กิโลเมตร ไหลลงสู่ทะเลที่ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระยอง และแม่น้ำประแสร์ ยาวประมาณ 25 กิโลเมตร ไหลลงสู่ทะเลที่ตำบลปากน้ำประแสร์ อำเภอแกลง
เมืองระยองเป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่ง สันนิษฐานว่าก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1500 ในยุคที่ขอมมีอำนาจแถบดินแดนสุวรรณภูมิ ดังปรากฏจากหลักฐานซากศิลาแลง คูค่ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในเขตอำเภอบ้านค่าย อันเป็นศิลปะการก่อสร้างแบบขอม
ราวปี พ.ศ. 2309 ในรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์แห่งกรุงศรีอยุธยา ระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาใกล้จะเสียกรุงแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 พระยาวชิรปราการ หรือพระยาตาก พร้อมไพร่พลประมาณ 500 คน ได้ตีฝ่าวงล้อมทัพพม่าออกมา และหยุดพักที่เมืองระยองก่อนเดินทัพต่อไปยังเมืองจันทบุรี เพื่อยึดเป็นแหล่งรวบรวมกำลังพลเพื่อกลับไปกอบกู้อิสรภาพคืนจากพม่าในปี พ.ศ. 2311 โดยระหว่างที่พระองค์ประทับอยู่ในระยองก็ได้ทรงจัดตั้งกองทัพเรือขึ้นด้วย
ปัจจุบันนี้ชาวเมืองระยองยังคงเคารพนับถือพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นอย่างมาก โดยเห็นได้จากการที่มีผู้คนมาสักการะอนุสาวรีย์ของพระองค์ ณ วัดลุ่มมหาชัยชุมพล ในตัวเมืองระยองเป็นจำนวนมาก และเทศบาลเมืองยังตั้งชื่อถนนสายสำคัญในตัวเมืองระยองว่า "ถนนตากสินมหาราช"
ชาวระยองส่วนใหญ่เป็นชาวชองที่สืบเชื้อสายจากเขมรผสมกับจีน ที่เหลือเป็นชาวจีนและชาวระยองเดิม การพูดของชาวชองจะมีหางเสียงว่า “ฮิ” ซึ่งหมายถึง “ค่ะ” หรือ “ครับ” เป็นเอกลักษณ์ของคนระยอง ที่คนทั่วประเทศรู้จักกันดีในปัจจุบัน
ส่วนชื่อเมือง “ระยอง” นั้น เพี้ยนมาจากคำว่า “ราย็อง” ซึ่งเป็นภาษาชอง อาจมีความหมายสองอย่าง คือ เขตแดน หรือไม้ประดู่
ในอดีตระยองแบ่งการปกครองเป็น 3 อำเภอ คือ ท่าประดู่ บ้านค่าย และแกลง ต่อมาอำเภอท่าประดู่มีประชากรจำนวนน้อย เลยถูกยุบเป็นตำบลท่าประดู่ ขึ้นกับเมืองระยอง ส่วนอำเภอแกลงนั้นเคยเป็นจังหวัดมาก่อน แต่ก็มีประชากรน้อยมาก ต่อมาจึงถูกลดฐานะลงเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดระยอง
ปัจจุบันจังหวัดระยองแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองระยอง อำเภอแกลง อำเภอบ้านค่าย อำเภอบ้านฉาง อำเภอปลวกแดง อำเภอวังจันทร์ อำเภอเขาชะเมา และอำเภอนิคมพัฒนา
ที่มา http://www.google.com/

ประวัติย่อๆของ เฟอร์นานโด โฮเซ่ ตอร์เรส ซานซ์



ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : เฟอร์นานโด โฮเซ่ ตอร์เรส ซานซ์
วันเกิด : 20 มีนาคม 2527 (20 March 1984)
สถานที่เกิด : มาดริด, สเปน
สัญชาติ : สเปน
ส่วนสูง : 183 ซ.ม. (6 ฟุต 1)
น้ำหนัก : 70 ก.ก.
ฉายา: เอลนีโน่ (El Nino)
สโมสร : ลิเวอร์พูล (2007-ปัจจุบัน)
ตำแหน่ง : กองหน้า


เฟอร์นานโด ตอร์เรส เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1984 หรือปี พ.ศ. 2527 เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งพุ่งแรงชาว สเปน ที่ย้ายจากสโมสรบ้านเกิดอย่าง แอตเลติโก มาดริด มาสังกัดสโมสร ลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษในฤดูกาล 2007/08 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสร (26.5 ล้านปอนด์) เขาเกิดในกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน

ตอร์เรส อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนปัจจุบัน หากเขาเลือกไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด โชคชะตาจึงกำหนดให้เขาไปแจ้งเกิดที่ แอตเลติโก มาดริด ทีมคู่แข่งร่วมเมืองนั่นเอง ฉายาของเขาคือ เอลนีโน่ (El Nino) ที่มีความหมายว่า เด็กน้อย เนื่องมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และหล่อเหลาของเขานั่นเอง นอกจากแฟนฟุตบอลแล้ว เขาเองยังมีแฟนคลับ (สาวๆ) ที่ไม่ใช่แฟนฟุตบอลอีกมากมายทั่วโลก

ชีวิตในวันเด็ก

เป็นชาวเมืองมาริดโดยกำเนิด และหลงรักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ตอร์เรส วัยเด็ก นั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเด็กๆทั่วไปมากนัก ที่แตกต่างนิดหน่อยนั่นก็คือ กีฬาที่เขาเล่นมีเพียงแต่ ฟุตบอล พออายุ 5 ปีเขาได้ไปร่วมทีมฟุตบอลของศูนย์กีฬาแถวบ้านชื่อทีม ปาร์เก้ 84 โดยการผลักดันจากพ่อของเขานั่นเอง พ่อของเขาทำงานระหว่างที่ตอร์เรสไปเตะฟุตบอลโดยมีแม่บังเกิดเกล้าคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ตอร์เรส มักจะฝันอยู่เสมอว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับนักฟุตบอลหลายๆคนที่เขาเห็นในโทรทัศน์ และจากการสนับสนุนของครอบครัว รวมไปถึงคุณปู่ของเขา ผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของ แอตเลติโก มาดริด เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้เขาได้ตามหาในฝันวัยเด็ก
ลับเฉพาะกับ เฟร์นานโด ตอร์เรซ
- ตอร์เรสสนิทกับเพื่อนร่วมทีมชาติสเปน เซร์คีโอ รามอส กองหลังดาวรุ่งของ เรอัล มาดริด
- ตอร์เรสเดทกับแฟนสาวโอลายา (Olalla) ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเขารู้จักตั้งแต่อายุแปดขวบ โดยครอบครัวของตอร์เรส ย้ายไปอยู่บ้านในถนนเดียวกับแฟนสาวในกาลิเซีย
- ตอร์เรสแสดงหนังในมิวสิกวิดีโอ เอลกันโตเดลโลโก ของ 'Ya Nada Volvera a Ser Como Antes'
- ตอร์เรส รับบทนักแสดงสมทบใน Torrente 3 ซึ่งเป็นหนังตลกสเปน ในปี 2548 เขาแสดงเป็นตัวเองและหลบหลีกอันตราย โดยเตะลูกระเบิดมือ เหมือนกับเป็นลูกฟุตบอล
- เขาสักชื่อ "Fernando" ที่ด้านในแขนซ้าย ด้วยภาษาTengwar สักหมายเลข 9 ที่ด้านในแขนขวา และสักวันที่ 7-7-2001 เป็นตัวเลขโรมัน ที่ด้านในน่องขวา

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

แอตเลติโก มาดริด
แชมป์
- สเปน ดิวิชั่น 2: พ.ศ. 2544-45
- ไนกี้คัพ ยุโรป ปี 2541 (บอลเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี)

ทีมชาติสเปน
แชมป์
ทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟ ปี 2544 รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี
ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ปี 2544
ปี 2545 ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี
แชมป์ยูโร2008

ระดับส่วนตัว

แชมป์
ผู้เล่นยุโรปยอดเยี่ยม รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ปี 2541
ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด ( 7 ลูก ใน 6 เกม ) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ปี 2544
ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด ( 4 ลูก ใน 4 เกม ) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ปี 2545
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ฤดูกาล 2007-2008 พรีเมียร์ชิพอังกฤษ
ดาวซัลโวสูงสุดประจำสโมสรลิเวอร์พูล ฤดูกาล2007-200
ทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ ปี2008
ทีมยอดเยี่ยมฟิพโปร11:2007-2008

ที่มา http://www.google.com/



ประวัติมิกกี้เม้าส์







วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ (Walter Elias Disney) (5 ธันวาคม 2444 - 15 ธันวาคม 2509, ค.ศ. 1901-1966) เป็นผู้สร้างผลงานการ์ตูนที่แพร่หลาย และประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท วอลต์ ดิสนีย์ และเป็นคนสร้างภาพยนตร์การ์ตูนสีเป็นคนแรก เขาเริ่มทำการ์ตูน มิกกี้เม้าส์ (Mickey Mouse)และ โดนัลด์ดั๊ก (Donald Duck) และเริ่มทำหนังยาว เช่น สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs), แฟนตาเซีย (Fantasia), พินอคคิโอ (Pinocchio) และ แบมบี้ (Bambi)

ตลอดเวลา 43 ปีในอาชีพของดิสนี่ย์ เขาเป็นผู้พัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพยนตร์ให้ทันสมัยมากขึ้น เป็นผู้ริเริ่มการสร้างสรร ผลงานที่มีจินตนาการสูง ทำให้ได้ผลงานที่คนทั้งโลกประทับใจไม่รู้ลืม โดยดิสนี่ยได้รับรางวัลออสการ์ไปถึง48รางวัล และ รางวัลเอมมี่ อีก7รางวัล
วอล์ท ดิสนี่ย ( วอลเตอร์ เอเลียส ดิสนี่ย์ )ผู้ให้กำเนิด มิคกี้ เมาส์ และเป็นผู้ก่อตั้งสวนสนุกดังระดับโลกอย่าง ดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ เกิดเมื่อ 5 ธันวาคม 1901 ที่ชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ เติบโตในครอบครัวชาวนาในมิสซูรี่ ดิสนี่ย์เริ่มสนใจในการวาดรูปเมื่ออายุ 7 ปี และสนใจในการเรียนวาดรูปและถ่ายรูปเมื่ออยู่ที่แม็คคินเลย์ ไฮสคูล

ในปี1918 ดิสนี่ย์ก็ได้ เข้าร่วมกับหน่วยกาชาติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 พอหลังจากสงครามโลกครั้งที่1สงบ ดิสนี่ย์ก็กลับไปยังแคนซัส ซิตี้ ที่ๆเขาเริ่มทำงานด้านการเขียนการ์ตูนประกอบโฆษณาที่นี่ ในปี1920 ดิสนี่ย์ได้ออกแบบ ตัวการ์ตูนที่เป็นแบบฉบับของตัวเองและ เรียนรู้วิธีที่จะทำให้ตัวการ์ตูนนั้นเคลื่อนไหวได้

ในเดือนสิงหาคมปี 1923 ดิสนี่ย์ก็ไปที่ฮอลลิวู้ดเพื่อก่อตั้งสตูดิโอที่นั่น และในปี1928 ดิสนี่ย์ได้สร้าง มิคกี้ เมาส์ และ ปรากฎครั้งแรกในหนังการ์ตูนเงียบที่ชื่อว่าPlane Crazy แต่ว่า ก่อนที่การ์ตูนเรื่องนี้จะออกฉายนั้น ก็เริ่มมีการนำเสียงมาใส่ในภาพยนตร์ ทำให้มิคกี้ เมาส์ก็ได้ปรากฎอยู่ในหนังการ์ตูนที่มีการใส่เสียงเรื่องแรกในโลกที่มีชื่อว่า Steamboat Willie ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1928

ดิสนี่ย์ก็ได้พัฒนาเทคนิคการทำภาพยนตร์ต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด เทคนิคการใส่สีในภาพยนตร์อนิเมชั่นก็ถูกนำมาใช้ในหนังอย่าง Silly Symphonies ปี 1932 หนังเรื่องFlowers and Treeของ Walt ก็ได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่32 ในปี1937 ดิสนี่ย์ได้สร้างหนังเรื่อง The Old Mill ซึ่งเป็นหนังสั้นที่นำเอาเทคนิคของmultiplane camera มาใช้

ในวันที่ 21 ธันวาคม ปี1937 ดิสนี่ย์ก็ได้ถือกำเนิด สโนว์ไวท์และคนแคระทั้ง7 ซึ่งเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเพลงเรื่องแรกของเขา และทำรายได้สูงในสมัยนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์การ์ตูนชุดยาวของดิสนี่ย์ และก็มีเรื่องอื่นๆตามมาอย่าง พิน็อคคิโอ้ แฟนตาเซีย ดัมโบ้ และ แบมบี้

ในปี1940 เบอร์แบงค์สตูดิโอของดิสนี่ย์ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 1000 คน ซึ่งประกอบด้วย ช่างศิลป์ อนิเมเตอร์ คนเขียนบท และ ฝ่ายเทคนิค ดิสนี่ย์ก็ใช้เวลาในสตูดิโอนี้เพื่อการสร้างหนังการ์ตูน ซึ่งรวมแล้ว ทั้งหมดก็มีด้วยกันถึง81เรื่องด้วยกัน และผลงานของดิสนี่ย์ก็เป็นสื่อที่ให้การเรียนรู้ได้มากพอๆกับความบันเทิง จนทำให้ได้รับรางวัลจากเรื่องTrue-Life Adventure ซึ่งมีหนังย่อยๆอย่างThe Living Desert,The Vanishing Prairie,The African Lion,และWhite Wilderness โดยหนังเหล่านี้ได้พูดถึงการใช้ชีวิตของสัตว์ป่าทั่วโลก

ในปี1955 ดิสนี่ย์ก็ได้ใช้เงินถึง17ล้านดอลล่าร์ ในการสร้างอาณาจักรบันเทิงอันยิ่งใหญ่อย่าง ดิสนี่ย์แลนด์ และปัจจุบันก็มีคนจากทั่วโลกมากกว่า 250ล้านคน เข้ามาเยี่ยมชม ส่วนงานด้านโทรทัศน์ ดิสนี่ย์ก็เริ่มต้นเมื่อปี 1954 และออกอากาศรายการทีวีที่เป็นภาพสีครั้งแรก กับรายการWonderful World of Colorในปี 1961. ส่วนรายการThe Mickey Mouse Clubและ Zorroก็ได้รับความนิยมมากจากผู้คนในยุค50
ในปี1965ดิสนี่ย์ได้มองถึงปัญหาของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน ทำให้ดิสนี่ย์ได้วางแผนที่จะสร้าง EPCOT(Experimental Prototype Community of Tomorrow) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรร ของอุตสาหกรรมอเมริกันที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้(ถ้าใครนึกออก มันก็คือลูกกอล์ฟขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ในดิสนี่ย์เวิร์ลด์) ดังนั้น ดิสนี่ย์จึงซื้อที่ดิน 43 ตารางไมล์ ที่เป็นศูนย์กลางของรัฐฟลอริด้า เพื่อที่จะสร้างดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ ซึ่งเป็นทั้งสวนสนุก โรงแรม รีสอร์ท และรวมถึง EPCOT center โดย ดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ เปิดวันที่1 ตุลาคม ปี1971 และ EPCOT center เปิด1 ตุลาคม ปี 1982

วอล์ท ดิสนี่ย์ เสียชีวิต วันที่ 15 ธันวาคม 1966 โดยผลงานที่เขาได้สร้างสรรในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ อนิเมชั่น โทรทัศน์ รวมถึงงานบันเทิงด้านอื่นๆนั้น ก็ยังคงเป็นที่จดจำของผู้คนทั่วโลก หรืออาจกล่าวได้ว่า เขานั้นเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพล ในด้านบันเทิงอีกคนหนึ่งในศตวรรษที่20 เลยทีเดียว




ที่มา http://www.google.com/















วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เกาะสาก

ทางทิศเหนือและใต้ของเกาะถ้าเอ่ยถึง "พัทยา" จังหวัดชลบุรี หลายคนคงนึกถึงเมืองแห่งแสงสี ที่นักท่องเที่ยวจากนานาประเทศเดินทางมาสัมผัสความครื้นเครง สนุกสนาน ภาพยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสันของสถานบันเทิง คราคร่ำไปด้วยเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวที่ออกมาตระเวนหาความสุข เมื่อยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้านับเป็นสิ่งที่คุ้นตายิ่งนัก แต่หากนักท่องเที่ยวเลือกอีกเส้น
ทางหนึ่ง ก็จะพบกับความสงบของท้องทะเล ความศิวิไลซ์ของธรรมชาติ อย่าง ชายหาดพัทยาเหนือ พัทยากลาง พัทยาใต้ และหาดจอมเทียน ที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล หรือแม้แต่กระทั่งน้ำทะเลใส ๆ ของ เกาะล้าน ซึ่งจัดได้ว่ามีความสวยงามอีกแห่งของประเทศไทย
และวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ข้ามน้ำข้ามทะเล ไปทำความรู้จักกับเกาะเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่ง ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจาก พัทยา มากนัก นั่นก็คือ เกาะสาก สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของความงียบสงบ รอให้คนรักธรรมชาติ ชอบการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ เดินทางไปเชยชมกันค่ะ...

เกาะสาก เป็นเกาะขนาดเล็ก ห่างจาก เกาะล้าน ไปทางทิศเหนือประมาณ 600 เมตร อยู่ห่างจาก แหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร เกาะสาก มีรูปร่างโค้งเป็นรูปเกือกม้าหงาย มีหาดทราย 2 หาด คือ เดิมที เกาะสาก เป็นสถานที่ตากอากาศของตระกูลจุลทรัพย์ เอาไว้สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ในขณะที่ เกาะล้าน จะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวประมงซะเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะผันมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ในปัจจุบันผู้คนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว เกาะล้าน มากกว่า จึงทำให้ เกาะสาก ยังเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน อีกทั้งธรรมชาติบน เกาะสาก ยังคงสมบูรณ์และสวยงามเหมือนเฉกเช่นเมื่อครั้งอดีต
จากแนวชายหาดด้านหน้า เกาะสาก เมื่อเดินไปด้านหลังจะพบกับแหล่งดำน้ำตื้น นับเป็นเกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติทีเดียว และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืนที่ เกาะสาก ก็มีบริการที่พักให้
สำหรับหาดทรายทั้ง 2 หาดของ เกาะสาก อยู่บริเวณอ่าวด้านเหนือ 1 หาด มีความยาวประมาณ 250 เมตร ปกติเรือนำเที่ยวมักจะจอดให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณนี้ เพราะไม่พบหินหรือปะการังอยู่บริเวณหาดเลย ส่วนอีกหาดหนึ่งคือหาดทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับหาดแรก แต่มีทางเดินติดต่อกันได้ ซึ่งหาดนี้เป็นหาดเล็ก ๆ ยาวประมาณ 80 เมตร มีแนวปะการังอยู่บริเวณด้านหน้า เรือนำเที่ยวจึงมักมาจอดให้นักท่องเที่ยวลงดำน้ำแบบ Skis diving ที่บริเวณนี้
ขณะเดียวกัน กิจกรรมที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางทาง เกาะสาก คือการ ดำน้ำ ทั้งแบบดำสน็อกเกิ้ล และแบบ Sea Walker (Surface air supply) คือการใช้เครื่องอัดอากาศ จากบนผิวน้ำส่งตามสายลงไปให้หายใจที่ใต้น้ำ โดยที่ปลายสายจะมีหมวกกันน้ำครอบศีรษะของผู้ดำน้ำ ซึ่งการดำน้ำแบบ Sea Walker ไม่ต้องเรียนดำน้ำก็ไปดำได้ลงไปก็เห็นใต้ท้องทะเลได้ รวมไปถึงการกิจกรรมทางน้ำอื่น ๆ เช่น ขี่เจ็ทสกี เล่นบานาน่าโบ๊ท ปั่นจักรยานน้ำ ( Scooter) ฯลฯ

ทั้งนี้ ปัจจุบันพบรอยประทับฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร สมเด็จพระสังฆราช ประทับไว้เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2510 ณ เกาะสาก รวมไปถึงรอยประทับฝ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์จากราชวงศ์ต่างประเทศ และบุคคลสำคัญจากทั่วโลกอีกด้วย
ปัจจุบันยังไม่มีเรือโดยสารประจำทางไปยัง เกาะสาก นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือได้ที่ท่าเรือพัทยาใต้ห รือจะเช่าบริเวณชายหาดพัทยาใต้ก็ได้ ราคาแล้วแต่จะตกลงกัน โดยทั่วไปจะตกอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 2,500 บาทต่อวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที

ที่มา
http://www.google.com/

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

RASTAFARI





ดนตรีก็คือปืนกระบอกใหญ่ที่สุดแต่มันปลอดภัย เพราะมันไม่ฆ่าใคร ถูกไหม? ต่างจากปืนที่มันจะระเบิดหัวคุณ” ไม่มีคำบรรยายอื่นใดอีกแล้วในโลกนี้ ที่จะสื่อให้เห็นภาพ “พลังสันติภาพ” ของดนตรีเร็กเก้-สกา ได้อย่างชัดเจนและทรงพลัง เช่นที่ราชาแห่งเพลงเร็กเก้และพระเจ้าของคนผิวสี นาม บ็อบ มาเลย์ กล่าวไว้ *เรื่องของชายผู้เป็นตำนาน... ขับขานบทเพลงแห่งภราดรภาพ บ็อบ มาเลย์ กล่าวประโยคอมตะที่ว่านั้น ต่อผู้สื่อข่าวคนหนึ่ง หลังได้รับมอบเหรียญสันติภาพแห่งประเทศโลกที่สามจากผู้แทนองค์การสหประชาชาติ แต่แม้ไม่ได้รับมอบเหรียญเกียรติยศใดๆ บ็อบก็จะยังคงจากโลกนี้ไปในฐานะ “พระคริสต์” หรือ “ผู้ปลดปล่อย” ของชาวจาเมกัน ชาวแอฟริกัน และชาวผิวสีอีกหลายล้านชีวิตทั่วโลก หากถามว่าสิ่งใดคือ “อาวุธ” หรือ “เครื่องมือ” ที่เขาใช้ในการต่อสู้เพื่อปลดแอกพี่น้องร่วมชาติพันธุ์ให้พ้นจากการกดขี่ของคนขาว คำตอบมิเพียงปรากฏอยู่ในถ้อยคำที่ตอกย้ำว่า ดนตรียืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับปากกระบอกปืนที่มนุษย์ใช้ปลิดชีพมนุษย์ หากแต่เป็นท่วงทำนองของบทเพลงที่บ็อบและผองเพื่อนวง เดอะ เวลเลอร์ส ร่วมบรรเลงขับกล่อมโลกนี้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาต่างหากที่เปรียบเสมือนอาวุธอันทรงพลานุภาพยิ่งกว่าขีปนาวุธใดๆ แม้เป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ที่บ็อบจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 36 ปี กระนั้นหลายสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขายังคงมีลมหายใจโลดแล่น ดำรงอยู่เหนือกาลเวลา ไม่ว่าจังหวะทำนองอันเปี่ยมเสน่ห์ของเพลงเร็กเก้ ผมทรงฟั่นเชือกหรือ Dread Lock ที่ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์เพื่อสดุดีองค์จักรพรรดิไฮเลเซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปียผู้ได้รับการยกย่องเป็นอัครศาสดาแห่งลัทธิรัสตาฟาเรียน ลัทธิที่ทรงอิทธิพลต่อบ็อบและคนผิวสีหลายล้านคนในจาเมกา หากยังสื่อให้เห็นถึงความอหังการและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูงของบ็อบ ที่ปวารณาตนเป็นราชสีห์แห่งจูดาห์ เจ้าป่าผู้อยู่เหนือชีวิตทั้งมวล เฉกเดียวกับที่องค์จักรพรรดิและอัครศาสดาแห่งรัสตาฟาเรียนได้รับเกียรตินั้น แต่ใครเล่าจะเอ่ยปากคัดค้านว่าบ็อบไม่คู่ควร ในเมื่อทุกครั้งที่เขาขับกล่อมเพื่อนมนุษย์ด้วยบทเพลงอันเปี่ยมมนต์ขลัง เขาดูไม่ต่างจากสิงหราชที่กำลังสะบัดแผงคอ ก่อนจะแผดเสียงคำรามกึกก้องและน่าเกรงขาม ชาวรัสตาที่แท้จึงมิได้ไว้ผมทรงฟั่นเชือกเพียงเพื่อความโก้เก๋ หากเพื่อแสดงถึงความกล้าหาญแห่งจิตใจ และพร้อมจะถ่อมตนต่อผืนดินไม่ต่างจากราชสีห์ที่รู้วาระอันเหมาะสม ไม่ทำลายเหยื่อเพียงเพื่อสนองกิเลสของตน ปัจจุบันในท่ามกลางยุคบริโภคนิยม ยังมีชาวรัสตาจำนวนไม่น้อยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ปฏิเสธการทำงานเพื่อรับเงินค่าจ้าง เชื่อมั่นในสิทธิและความเท่าเทียมของเพื่อนมนุษย์ หากขณะเดียวกันก็ยืนหยัดรักษาสิทธิของการไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ไม่ยอมให้การเมืองจูงจมูก หลายคนยังทำสมาธิผ่านการดูดกัญชา ด้วยเชื่อว่ามันเป็นพิธีกรรมสำคัญที่นำพวกเขาเข้าสู่การดิ่งลึกทางจิตวิญญาณ มีสัญลักษณ์เกี่ยวกับบ็อบ มาเลย์ อีกมากมายเกินจะนับ แต่สำคัญเหนืออื่นใดคือลมหายใจแห่งดนตรีเร็กเก้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้การปฏิวัติเรียกร้องสิทธิของคนผิวสีทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเมื่อราวปลายทศวรรษ 1960 จะกลายเป็นอดีตและดำรงอยู่ในฐานะ “บทบันทึกแห่งประวัติศาสตร์” แต่บทเพลงของบ็อบที่ร่วมยืนหยัดเรียกร้องสันติภาพและภราดรภาพในครานั้น ยังคงโลดแล่นขับกล่อมผู้คนทั่วโลกตราบจนวันนี้ เพลง “No Womam No Cry” ที่บ็อบส่งน้ำเสียงของอดีตเด็กสลัมแห่งย่านเทรนช์ทาวน์ซึมซาบเข้าสู่หัวใจคนฟัง คล้ายจะเป็นเพลงชาติของสาวกเร็กเก้หลายล้านชีวิต ไม่ต่างจาก Redemtion Song, Get Up Stand Up และแทบทุกบทเพลงของบ็อบกับผองเพื่อน เดอะ เวลเลอร์ส ที่กาลเวลาไม่อาจลดทอน หรือทำลายมนต์เสน่ห์ใดๆ ให้ด้อยลง *การกำเนิดขึ้นของเร็กเก้-สกา ในหน้าประวัติศาสตร์ของดนตรีพื้นเมืองจาเมกาอย่าง “เร็กเก้” ไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่าบ็อบ มาเลย์ คือตำนานผู้ปลุกให้ชาวอเมริกันและคนทั้งโลกหันมาฟังพวกเขา แต่ก่อนการมาถึงของบ็อบ ก่อนการกำเนิดของเร็กเก้ รากที่แท้จริงนั้นยึดโยงอยู่กับจังหวะดนตรีที่ดิบกว่า สดกว่า เร้าอารมณ์ได้อย่างรุนแรง ทรงพลังและ...ซื่อตรงยิ่งกว่า จังหวะดนตรีดังกล่าว มีชื่อเรียกว่า “ สกา ” (SKA) ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 หากถามว่าชาวสลัมทั้งในย่านเทรนช์ทาวน์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของบ็อบ และแหล่งสลัมอื่นๆ ในประเทศยากจนอย่างจาเมกาเมื่อราวทศวรรษ 1960 รับฟังเพลงจากสถานีตามคลื่นวิทยุต่างๆ ด้วยวิธีไหน คำตอบที่มีการบันทึกไว้ทำให้เราเห็นถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของพวกเขาที่เพียงแค่ต้องการเสียงดนตรีเพื่อความสนุกสนาน ความสุนทรีและความรื่นรมย์ของชีวิต พวกเขาใช้เพียงรถแวนหรือรถบรรทุกบรรจุแผ่นเสียงจำนวนมากทั้งจากฝั่งอเมริกาและจาเมกา พร้อมด้วยสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือเครื่องเสียงสเตอริโอทันสมัย เพียงเท่านี้ “รถดนตรี” ก็ตระเวนจัดงานเต้นรำในสถานที่ต่างๆ ตามสลัมเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็น กล่าวได้ว่า “สกา” เกิดขึ้นจากการหลอมรวมแนวดนตรีอันหลากหลาย ตามที่รถดนตรีเคลื่อนที่คันนี้ส่งเสียงไปถึง คลื่นความถี่จากสถานีวิทยุฟลอริดา หลุยส์เซียนา นิวออร์ลีนส์ และคลื่นจากสถานีวิทยุอื่นๆ ในอเมริกาได้รับความนิยมอย่างสูง ชาวจาเมกาหลงใหลในเพลงโซล ท่วงทำนองเฉพาะตัวของชาวแอฟริกันผิวดำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ผสานเข้ากับริธึมแอนด์บลูส์นั่นเอง หลังจากนั้น ชาวจาเมกาก็คิดค้นจังหวะของตนเองขึ้นมา โดยนำร็อกแอนด์โรลผสานเข้ากับดนตรีพื้นเมือง “เมนโต” ของชาวแอฟริกันในจาเมกา หรือในหลายครั้งก็อาจผสานเข้ากับ “คาลิบโซ” ของชาวอเมริกาใต้ การผสมผสานและหลอมรวมที่พวกเขาคิดค้นขึ้นนี้ ก่อให้เกิดเป็นจังหวะดนตรีที่แปลก พิเศษ มีเสน่ห์ในตัวเอง จังหวะที่รวดเร็วคึกคักของมันแพร่หลายได้รับความนิยม กลายเป็นเพลงเต้นรำของชาวจาเมกาทั้งประเทศไปในที่สุด พวกเขาพร้อมใจเรียกดนตรีแนวนี้ว่า “สกา” กระทั่งปลายทศวรรษ 1960 จังหวะที่รวดเร็วของดนตรีสกา ถูกดึงให้เนิบช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อย และได้ชื่อใหม่ว่า “ร็อก สเตดี” (Rock Steady) และหลังการมาถึงของร็อก สเตดี ก็คือการกำเนิดขึ้นของ “เร็กเก้” เพลงร็อกในสไตล์จาเมกัน ที่ใครหลายคนมองว่าเป็นการนำร็อกแอนด์โรลมาปรับให้มีลูกเล่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการผสานเข้ากับท่วงทำนองพื้นเมืองของจาเมกา คล้ายสกาและร็อก สเตดี แต่เร็กเก้มีจังหวะที่เนิบช้ากว่าแนวดนตรีทั้งสองประเภทนั้น กีตาร์ เบส และกลอง คือเครื่องดนตรีที่เป็นหัวใจสำคัญของเร็กเก้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลองไสตล์แอฟริกันที่เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของจาเมกา ความพิเศษประการหนึ่งของดนตรีเร็กเก้คือ “จังหวะเคาะ” ที่ชวนให้รู้สึกราวกับต้องมนต์ นั่นคือจังหวะ 1 และ 3 ต่างไปจากร็อกแอนด์โรล ที่มีจังหวะเคาะเป็น 2 และ 4 บ็อบเคยทำเพลงในแบบสกาและเป็นที่นิยมอาทิ I’m Still Waiting และ I Need You อย่างไรก็ตาม จังหวะเคาะอันแปลกประหลาดแต่ชวนหลงใหลนี้ ชาวจาเมกาได้รับอิทธิพลมาจากการตีกลองแบบแอฟริกัน ในช่วงแรกที่เพลงเร็กเก้ก่อกำเนิด การยึดมั่นในขนบของดนตรีพื้นเมืองมักจะได้รับการยอมรับมากกว่าวงดนตรีที่พยายามขยายฐานผู้ฟังด้วยการเล่นในจังหวะที่ถูกจริตกับชาวต่างชาติ บ็อบ มาเลย์ เองก็เคยถูกมองในแง่ลบ ได้รับคำวิจารณ์ในทำนองว่าละทิ้งความเป็นพื้นเมืองในเพลงของตน ทว่า ความหมายอันลึกซึ้งของบทเพลงที่พวกเขามุ่งนำเสนอก็ได้รับการยอมรับจากชาวจาเมกาในที่สุด ความรักในเพื่อนมนุษย์ ไม่ก่นด่าว่ากล่าวใครเพียงเพราะว่าเขาเป็นคนส่วนน้อยของสังคม สิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏในบทเพลงของบ็อบ กลายเป็นสารัตถะสำคัญที่นำพาพวกเขาก้าวข้ามไปสู่ฝั่งอเมริกา กุมหัวใจคนผิวสีทั้งโลก มิใช่เพียงขาวจาเมกาเท่านั้น บ็อบ มาเลย์ แผ้วถางเส้นทางของเร็กเก้ ให้ส่องประกายเจิดจรัสไปกว้างไกล ขณะที่ต้นกำเนิดของจังวะดนตรีคนผิวสีแห่งจาไมกาอย่างสกา คล้ายจะแผ่วเบาไป ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับร็อก เสตดีที่มีจังหวะช้ากว่า แต่ไม่ว่าอย่างไร สกาก็ยังคงเป็นฐานรากดนตรีที่ชาวจาเมกาไม่มีวันลืม เพราะหากไม่มีสกา ก็ไม่มีร็อก สเตดี และเร็กเก้ กำเนิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และทั่วทั้งโลก ร่วมกันลุกขึ้นปฏิวัติ เรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาที่ถูกคนขาวกดขี่ไว้ ร็อก สเตดี กลายเป็นเครื่องปลุกปลอบใจอันสำคัญยิ่ง บทเพลงหลายต่อหลายเพลงถูกแต่งขึ้นเพื่อเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวออกมาแสดงพลังบริสุทธิ์ของพวกเขา ต่อต้านการใช้อำนาจอันไร้มนุษยธรรมของคนขาว หากคนผิวสีในอเมริกาและทั่วทั้งโลกได้รับการปลุกปลอบจากเพลงเร็กเก้ของบ็อบ มาเลย์ ระหว่างนั้น ร็อก สเตดี อันมีฐานรากจากดนตรีสกา คือสิ่งที่ช่วยประคับประคองจิตใจของชาวจาเมกา ก่อนที่บ็อบจะกลับมากอบกู้จิตวิญญาณของพวกเขา *ก้าวสู่เมืองไทย-มนต์เสน่ห์ที่พาหัวใจล่องลอย “เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ถนนสายนั้นที่ทอดยาว มีเรื่องราวของความเป็นจริง มีเงาไม้เอาไว้ให้พักพิง ให้เธอเอาไว้ยามอ่อนแรง…” “กอดกันหน่อยได้ไหม” พลันที่เพลงยอดนิยมของ “ทีโบน” วงเร็กเก้ระดับตำนานถูกขับขานด้วยสไตล์ “สกา” หนุ่มสาวหลายสิบชีวิตที่เบียดเสียดกันอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว ก็เปลี่ยนท่าทางที่กำลังยักย้าย โยกตัวเหวี่ยงแขนกระโดดโลดเต้นกันอย่างสนุกคึกคักให้กลับกลายเป็นอิริยาบถสบายๆ หลายคนวาดวงแขนไปโอบกอดคนข้างๆ ปล่อยตัวปล่อยใจให้เคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ หลอมรวมหัวใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะเพลง หลายคนหันไปจับมือ คล้องแขนกับโต๊ะข้างๆ พากันโยกตัวแล้วหมุนเป็นวงรอบๆ โต๊ะ ดูน่ารักน่าเอ็นดู ราวกับพวกเขาปลดปล่อยความเป็นเด็กที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจให้ออกมาวิ่งเล่นได้ตามใจชอบ แม้ไม่รู้จักกันไม่เคยพูดคุย แต่ภาษาของดนตรีก็นำพาให้พวกเขาใช้ “ใจ” สัมผัส “ใจ” โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด พวกเขาเคลิบเคลิ้มอย่างเป็นสุข สาวๆ หลายคนหลับตาพริ้ม หนุ่มๆ หัวฟูหลายคน พร้อมใจกันยักไหล่เข้ากับจังหวะ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร แต่ภาพรอยยิ้มที่ส่องประกายในแสงสลัว เสียงหัวเราะที่ดังก้องแข่งกับเสียงเพลง คงพอที่จะยืนยันได้ว่า..ความสุข คือสิ่งที่เขาและเธอได้รับจากมนต์เสน่ห์ของสกาที่บรรเลงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน ฮึ่ย ฮึ่ย ฮึ่ย ฉึกกะฉักๆๆๆ เสียงทรัมเป็ต ไวโอลิน เพอร์คัสชัน กลอง กีตาร์ เบส กลับมาสู่จังหวะคึกคัก เสียงโซโลของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก่อนที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน พาให้หัวใจสูบฉีดเต้นรัวและแรง ความเนิบช้าชวนเคลิบเคลิ้มถูกสลัดทิ้งไป พวกเขาเเหวี่ยงแขนขา ยักไหล่ โยกเอว กระโดด กระโดด และกระโดด อย่างสนุกสนาน เทศกาลดนตรีเร็กเก้ที่ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 3, งานดนตรีสกาที่มีป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม แห่งคลื่นแฟต เรดิโอ เป็นผู้ผลักดัน, เสียงตอบรับอันน่าชื่นชมที่วงเท็ดดี้ สกา ที่ได้รับจากผู้ชมงานแฟต เฟสติวัลครั้งล่าสุด เช่นเดียวกับเพลงในแนวสกาของพวกเขาที่ไต่อันดับสูงขึ้นเรื่อยๆ บนหน้าปัดคลื่นโตๆ มันๆ เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ “สกา” ซึ่งกำลังเป็นที่คลั่งไคล้หลงใหลในกลุ่มคนฟังเพลงที่นิยมความสด แปลก ใหม่ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยังไม่นับการรวมตัวเฉพาะกิจของ ปาล์มมี่ นักร้องสาวสุดเซอร์ กับ ทีโบน วงเร็กเก้ระดับตำนานของไทยที่ร่วมแรงร่วมใจโชว์พลังเสียงและฝีมือคุณภาพด้วยเพลงเก่าที่นำมาเล่าใหม่ในแบบ “สกา” ทำให้ใครต่อใครต่างหลงรักและหลงใหล นอกจากพวกเขา เมืองไทยยังมีศิลปินที่เล่นดนตรี “สกา” มาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หาก ไคโจบราเธอส์, จ๊อบ บรรจบ, โกลด์เรด, คือรุ่นเก๋าที่ส่งผ่านหัวใจเร็กเก้-สกา สู่ผู้ฟังชาวไทยกลุ่มเล็กๆ มาอย่างต่อเนื่อง ศรีราชาร็อกเกอร์, สกาแล็กซี่, สกาเบอร์รี่ หรือวงดนตรีมากฝีมืออย่าง เท็ดดี้ สกา แบนด์ และวงดนตรีในแนวนี้อีกไม่น้อยก็อาจเปรียบได้กับคนรุ่นใหม่ที่รับไม้ต่อและช่วยกันส่งมอบความสนุกของสกาให้เปล่งประกายจนได้รับการยอมรับจากผู้ฟังในระดับที่น่าชื่นชม หาก สกา-เร็กเก้ ที่คล้ายจะโรยราไป ฟื้นคืนกลับมาอย่างน่าจับตาในวันนี้ พอจะเป็นเครื่องยืนยันได้หรือไม่ว่า ดนตรีแนวนี้คือท่วงทำนองที่ไม่มีวันตาย แม้วันนี้พวกเขามิจำเป็นต้องแบกรับอุดมการณ์ในการปฏิวัติ มิต้องเรียกร้องให้คนผิวสีทั่วโลกลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของตนเอง แต่กระนั้น จังหวะที่ชวนให้เคลิ้มฝัน จิตใจล่องลอย และสนุกได้อย่างสุดเหวี่ยง ก็คล้ายจะเป็นมนต์ขลังสุดพิเศษที่ชาวจาเมกาทิ้งไว้ให้แก่คนทั้งโลก เป็นไปได้หรือไม่ว่า การที่เพลงเร็กเก้-สกา ในวันนี้ไร้ซึ่งความเจ็บปวดเจืออยู่ คือหลักฐานและร่องรอยอันสำคัญที่บ่งบอกว่า ณ วันนี้ มันคือท่วงทำนองแห่งภราดรภาพอย่างแท้จริง ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีน้ำตา มีเพียงเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสนุก ไม่รู้จักหน้าค่าตา แต่เมื่อเสียงเพลงบรรเลง เราก็พร้อมจะกอดคอ คล้องแขนแล้วพาหัวใจล่องลอยไปด้วยกัน “เร็กเก้ กับสกาในความรู้สึกของผม ผมว่าสกามันน่าสนใจตรงที่มีจังหวะเร็วๆ ฉึกกะฉักๆ แต่เร็กเก้มันเป็นอะไรที่เนิบๆ เอื่อยๆ มันมีจังหวะแล้วก็เสน่ห์ที่แตกต่างกัน หากถามถึงเสน่ห์ของเพลงเร็กเก้-สกา ผมว่าสิ่งสำคัญมันอยู่ตรงที่คุณไม่ต้องคิดอะไรเกี่ยวกับมันเลย ไม่ต้องหาความหมาย ไม่ต้องตั้งคำถาม แค่ปล่อยใจให้สบาย แล้วให้ดนตรีมันพาเราไป ง่ายๆ ครับ เหมือนนิยามของผมที่มีต่อเร็กเก้ คือ “สบายๆ ” แค่นั้นเองครับ” กอล์ฟ-ทีโบน เผยความรู้สึกแก่ “ผู้จัดการปริทรรศน์” ถึงเสน่ห์และนิยามของดนตรีแนวนี้ในความคิดของเขา นอกจากกอล์ฟแล้ว เท็ดดี้ สกา แบนด์ ซึ่งถือเป็นวงดนตรีแนวสกาที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะเรื่องความสามารถเมื่อขึ้นแสดงไลฟ์ คอนเสิร์ต คืนวันหนึ่ง เขาให้เกียรติพูดคุยกับเราก่อนขึ้นแสดงสดที่ร้านบริคบาร์ ถนนข้าวสาร สมาชิกเกือบทั้งหมดของวง คือ ต้น-วิทวัส จันทร์แพทย์รักษ์ (นักร้องนำ) โย-ภาคี นาวี (เบส) เม-เมธี เสนีวงศ์ ณ อยุธยา (กีตาร์) แชมป์-ปิยะวิทย์ ขันธศิริ (ไวโอลิน) รุ้ง-สายรุ้ง สิบหมื่นเปี่ยม (ทรัมเป็ต) เสนอมุมมองของพวกเขาต่อกระแสของ “สกา” ในขณะนี้ได้อย่างน่าสนใจ “จริงๆ แล้ว สกามันก็อยู่ของมันเฉยๆ นะ อยู่มานานแล้วด้วย พอสื่อหันมาสนใจมันก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอย่ามองว่าเป็นกระแสเลยครับ เพราะอะไรที่เป็นกระแส มันก็จะมาเร็วและไปเร็วเหมือนแฟชั่น ที่นิยมกันประเดี๋ยวประด๋าว แต่เราอยากให้สกาอยู่ตลอดไป แต่มองอีกแง่หนึ่งการที่สกาเป็นกระแสขึ้นมามันก็เป็นสิ่งวัดใจเหมือนกันนะ คือวัดใจทั้งเราและคนฟังเพลงเราว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง หากกระแสมันจางลง มันโรยราไป มันไม่ฮิตแล้ว คุณจะยังฟังมันอยู่หรือเปล่า เมื่อถึงวันนั้น คนที่ยังฟังสกาก็คือคนที่รักสกาจริงๆ ขณะที่เราเองก็ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย คือผมเชื่อเสมอนะว่าอะไรที่มันเป็นของแท้และมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง มันก็จะคงอยู่” คนฟังสกาไม่มีใครใจร้อน มีแต่คนใจเย็น รักสนุก มาฟังเพลง มาเต้น ไม่มีใครเคยยกพวกตีกันหรือทะเลาะกันเวลาฟังสกา เพราะเรารักกันเหมือนพี่น้อง...พวกเขายืนยันอย่างหนักแน่น ก่อนจะกลับมาปรากฏตัวบนเวทีของบาร์สกาแห่งนี้อีกครั้งตอนเกือบเที่ยงคืน แล้วทุกชีวิตก็พร้อมที่จะกระโดดโลดเต้น และปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปตามท่วงทำนองแห่งความสุข

www.google.com